วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

Paradigm หรือ กระบวนทัศน์

Paradigm  หรือ กระบวนทัศน์  มาจากภาษากรีก  หมายถึงความเชื่อพื้นฐานที่ฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมีความแตกต่างกันตามเพศ วัย สิ่งแวดล้อม  การอบรมปลูกฝังทางวัฒนธรรม และตามการตัดสินใจเลือกของแต่ละบุคคล ความเชื่อพื้นฐานนี้แหละเป็นตัวกำหนดให้แต่ละคนชอบอะไร และไม่ชอบอะไร พอใจแค่ไหนและอย่างไร เป็นตัวนำร่องการตัดสินใจด้วยความเข้าใจ และเหตุผลในตัวบุคคลคนเดียวกัน อาจจะเปลี่ยนแปลงได้หากรู้สึกว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะเปลี่ยน แต่จะไม่เปลี่ยนด้วยอารมณ์ ก่อนเปลี่ยนจะต้องมีความเข้าใจกระบวนทัศน์เก่าที่มีอยู่ และกระบวนทัศน์ที่จะรับเข้ามาแทน มีการชั่งใจจนเป็นที่พอใจ มีฉะนั้นจะไม่ยอมเปลี่ยน  
กระบวนทัศน์เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์
                พฤติกรรม 3 ระดับ
                ยึดมั่นไม่เปลี่ยน   เพราะความรู้ เหตุผล แรงจูงใจ แรงบีบคั้น ปัจจัยพื้นฐาน           ไม่เพียงพอ
                เปลี่ยนชั่วคราว     เพราะความรู้ เหตุผล แรงจูงใจ แรงบีบคั้น ปัจจัยพื้นฐาน           ไม่มีน้ำหนัก
                เปลี่ยนถาวร          เพราะความรู้ เหตุผล แรงจูงใจ แรงบีบคั้น ปัจจัยพื้นฐาน           ตกผลึก

Paradigm Shift  (การเปลี่ยนกระบวนทัศน์)   องค์ประกอบที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ได้แก่ ความรู้ เหตุผล แรงจูงใจ แรงบีบคั้น และ ปัจจัยพื้นฐาน
Input
Process
Output
ความรู้ (Knowledge)
เหตุผล (Motive)
แรงจูงใจ (Persuade)
แรงบีบคั้น (Mental sufferings)
ปัจจัยพื้นฐาน (ปัจจัย 4. สวัสดิภาพ,ชีวิต,ร่างกาย,ทรัพย์สิน,ชื่อเสียง ความตาย,คติ)
ไม่เพียงพอ
ยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีน้ำหนัก
เปลี่ยนชั่วคราว
ตกผลึก,หนักแน่น
เปลี่ยนถาวร


                 การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในการทำงานเป็นเรื่องที่องค์กรต้องตระหนักและให้ความสำคัญ เพราะเป็นปัจจัยที่จะพัฒนาระบบราชการให้ยั่งยืน  แล้วใครล่ะจะเป็นผู้นำและทรงอิทธิพลพอที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำงานของคนในองค์กรได้? 

เอกสารอ้างอิง:  http:// www.novabizz.com
                            http:// www.opdc.go.th /

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ชื่อตำแหน่งในสายงานภาษาอังกฤษ

ลำดับ   ประเภท      ชื่อตำแหน่งในสายงาน                    ชื่อตำแหน่งในสายงานภาษาอังกฤษ
1   บริหาร   นักบริหาร                                           Executive
2   อำนวยการ   ผู้อำนวยการ                                   Director
3   อำนวยการ   ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน(แพทย์)               Director (Physician)
4   วิชาการ   นักจัดการงานทั่วไป                               General Administration Officer
5   วิชาการ   นักทรัพยากรบุคคล                               Human Resource Officer
6   วิชาการ   นิติกร                                             Legal Officer
7   วิชาการ   นักวิเคราะห์นโยบายและแผน                     Plan and Policy Analyst
8   วิชาการ   นักวิชาการพัสดุ                                   Supply Analyst
9   วิชาการ   นักวิชาการสถิติ                                   Statistician
10   วิชาการ   นักวิเทศสัมพันธ์                                 Foreign Relations Officer
11   วิชาการ   นักวิชาการเงินและบัญชี                         Finance and Accounting Analyst
12   วิชาการ   นักวิชาการตรวจสอบภายใน                     Internal Auditor
13   วิชาการ   นักประชาสัมพันธ์                                Public Relations Officer
14   วิชาการ   นักวิชาการเผยแพร่                              Dissemination Technical Officer
15   วิชาการ   นักกายภาพบำบัด                                Physiotherapist
16   วิชาการ   นักจิตวิทยา                                      Psychologist
17   วิชาการ   ทันตแพทย์                                      Dentist
18   วิชาการ   นักเทคนิคการแพทย์                            Medical Technologist
19   วิชาการ   นายสัตวแพทย์                                  Veterinarian
20   วิชาการ   พยาบาลวิชาชีพ                                 Registered Nurse
21   วิชาการ   นายแพทย์                                      Medical Physician
22   วิชาการ   เภสัชกร                                         Pharmacist
23   วิชาการ   นักโภชนาการ                                   Nutritionist
24   วิชาการ   นักรังสีการแพทย์                               Radiological Technologist
25   วิชาการ   นักวิชาการสาธารณสุข                          Public Health Technical Officer
26   วิชาการ   นักวิทยาศาสตร์การแพทย์                      Medical Scientist
27   วิชาการ   ช่างภาพการแพทย์                              Medical Photographer
28   วิชาการ   บรรณารักษ์                                     Librarian
29   วิชาการ   นักสังคมสงเคราะห์                              Social Worker
30   ทั่วไป   เจ้าพนักงานธุรการ                                "General Service Officer หรือ Office Clerk"
31   ทั่วไป   เจ้าพนักงานพัสดุ                                  Supply Officer
32   ทั่วไป   เจ้าพนักงานเวชสถิติ                               Medical Statistics Technician
33   ทั่วไป   เจ้าพนักงานสถิติ                                  Statistical Officer
34   ทั่วไป   เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี                     Finance and Accounting Officer
35   ทั่วไป   เจ้าพนักงานโสตทัศนศึกษา                       Audio-Visual Officer
36   ทั่วไป   เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข                      Dental Assistant
37   ทั่วไป   เจ้าพนักงานเภสัชกรรม                           "Pharmaceutical Assistant หรือ Pharmacy Technician"
38   ทั่วไป   โภชนากร                                         Nutrition Officer
39   ทั่วไป   เจ้าพนักงานรังสีการแพทย์                        Radiographer Technician
40   ทั่วไป   เจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์              "Medical Technician Assistant หรือ Medical Science Technician"
41   ทั่วไป   เจ้าพนักงานสาธารณสุข                           Public Health Officer
42   ทั่วไป   เจ้าพนักงานอาชีวบำบัด                           Vocational Therapy Technician
43   ทั่วไป   พยาบาลเทคนิค                                  Technical Nurse
44   ทั่วไป   นายช่างศิลป์                                     Graphic Designer
45   ทั่วไป   ช่างกายอุปกรณ์                                  Prosthetic and Orthotic Technician
46   ทั่วไป   นายช่างเครื่องกล                                Mechanic
47   ทั่วไป   นายช่างเทคนิค                                  Technician
48   ทั่วไป   นายช่างไฟฟ้า                                    Electrician
49   ทั่วไป   นายช่างโยธา                                    Civil Works Technician
50   ทั่วไป   เจ้าพนักงานห้องสมุด                             Library Service Officer

ประเภทตำแหน่ง (Position Category)      
     
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร (Executive Positions) (S)     
  ก. ระดับต้น (Primary Level) (S1)   
  ข. ระดับสูง (Higher Level) (S2)   

2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ (Managerial Positions) (M)     
  ก. ระดับต้น (Primary Level) (M1)   
  ข. ระดับสูง (Higher Level) (M2)   

3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ (Knowledge Worker Positions) (K)     
  ก. ระดับปฏิบัติการ (Practitioner Level) (K1)   
  ข. ระดับชำนาญการ (Professional Level) (K2)   
  ค. ระดับชำนาญการพิเศษ (Senior Professional Level) (K3)   
  ง. ระดับเชี่ยวชาญ (Expert Level) (K4)   
  จ. ระดับทรงคุณวุฒิ (Advisory Level) (K5)   

4. ตำแหน่งประเภททั่วไป (General Positions) (O)     
  ก. ระดับปฏิบัติงาน (Operational Level) (O1)   
  ข. ระดับชำนาญงาน (Experienced Level) (O2)   
  ค. ระดับอาวุโส (Senior Level) (O3)   
  ง. ระดับทักษะพิเศษ (Highly Skilled Level) (O4)   

รูปแบบการใช้ชื่อตำแหน่งในสายงานคู่กับระดับตำแหน่งในแต่ละประเภทตำแหน่ง (ภาษาอังกฤษ)        
        
ตัวอย่าง ตำแหน่งประเภทบริหาร  (Executive Positions)        
        
   นักบริหารต้น  Executive, Primary Level     
   นักบริหารสูง  Executive, Higher Level     

ตัวอย่าง ตำแหน่งประเภทอำนวยการ  (Managerial Positions)        
        
   ผู้อำนวยการต้น  Director, Primary Level     
   ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง  Director (Physician), Higher Level

ตัวอย่าง ตำแหน่งประเภทวิชาการ  (Knowledge Worker Positions)  
  
   นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ  Public Health Technical Officer, Practitioner Level
   นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ  Public Health Technical Officer, Professional Level
   นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ  Public Health Technical Officer, Senior Professional Level
   นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ  Public Health Technical Officer, Expert Level
   นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ  Public Health Technical Officer, Advisory Level

ตัวอย่าง ตำแหน่งประเภททั่วไป  (General Positions)  
  
   เจ้าพนักงานสาธารณสุขปฏิบัติงาน Public Health Officer, Operational Level
   เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน  Public Health Officer, Experienced Level
   เจ้าพนักงานสาธารณสุขอาวุโส  Public Health Officer, Senior Level

เริ่มต้นกับการเขียน Facebook Application สำหรับผู้เริ่มต้น (PHP)

คัดลอกจาก http://blog.levelup.in.th/2009/06/30/start-facebook-application-tutorial-for-beginner-php%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82/

เริ่มต้นกับการเขียน Facebook Application สำหรับผู้เริ่มต้น (PHP) by heha

30
JUN
42
ก่อนอื่นต้องขอบ่นก่อนเลยว่าผมงงมากๆ กับการเริ่มเขียน Facebook API เนื่องจาก Wiki ของ Facebook มีเนื้อหาต่างๆ มากมาย ทั้ง Low Level และ High Level ผสมกัน กว่าจะเข้าใจและพอเขียน App ที่ใช้ได้จริงๆ ก็เป็นอาทิตย์เพราะนั่งปวดเศียรเวียนเกล้ากับอยู่นานสองนาน ดังนั้นใครอยากเขียน Facebook Application ละก็ควรจะรู้สิ่งต่างๆ ข้างล่างไว้ก่อน เพื่อที่เวลาจะเริ่มหัดจะได้ไม่งงเหมือนกับผม
ก่อนอื่นสิ่งที่ต้องมีอันดับแรกคือ host ของตัวเองที่ไหนก็ได้ เพราะ Facebook จะไม่มีที่สำหรับ upload file ของเราเก็บให้ครับ ต้องมี host เป็นของตัวเอง แล้ว Facebook จะมาดึงข้อมูลจาก host ของเราไปแสดงบน facebook อีกทีหนึ่ง (ผ่าน Canvas Callback URL ใน Tab Convas ด้านล่าง) สิ่งที่ต้องทำมีดังนี้
  1. http://www.facebook.com/developers/ เข้าหน้านี้แล้วกด Allow Access จะเป็นการอนุญาตการใช้ App เหมือน App บน facebook ทั่วไป (อย่าลืม bookmark ด้วยล่ะ! เพราะมันก็เป็น app ที่สามารถ bookmark ได้ตามปกติ)
  2. คลิก Setup New Application ทางมุมขวาบน
  3. ช่อง Application Name ก็กรอกชื่อ App ที่เราจะสร้างตามสะดวก
  4. ติ๊ก Agree แล้ว Save Change
  5. จะเข้าสู่หน้า Application Setting ซึ่งส่วนที่เราต้องไปเซ็ตค่ามีดังนี้ (ส่วนอื่นนอกจากนี้ ถ้าไม่ต้องการใช้อะไรที่ Advance จริงๆก็ไม่ต้องยุ่งครับ จะมีอะไรให้เซ็ตเยอะมาก)
    1. Tab General ต้องเซ็ตดังนี้
      • Application Name - อันเดียวกับที่ใส่ไปแล้ว
      • Description - รายละเอียด Application ที่จะให้แสดงตอนขึ้น Allow Access ให้ดึง friend มาได้
      • Icon - icon เวลา bookmark และ publish ลง wall
      • Logo - แสดง logo ตอน Allow Access และอื่นๆ
      • Developers - ถ้ามีเพื่อนหลายคนช่วยกัน จะแบ่ง permission ให้เข้ามาแก้ Application Setting ได้ด้วยก็ใส่เพิ่มตรงนี้
    2. Tab Convas
      • Canvas Page URL - URL ที่จะให้ผู้ใช้ App ของเราจำ หรือใส่ link ต่างๆ (จะเปลี่ยน URL เมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ และไม่กระทบกับผู้ใช้ที่ bookmark app เราไว้)
      • Canvas Callback URL - URL ที่เชื่อมโยงกับเว็บจริงของเราที่ทำการประมวลผลต่างๆ ใน app และส่งมาให้ผู้ใช้ได้ใช้ (host ของเรานั่นเองแหละ) เช่น http://www.myserver.com/facebook_app/ (ต้องมี / ปิดท้าย ไม่งั้นจะไม่ได้)
      • Render Method - อันนี้ให้เลือกเป็น Iframe ซึ่งผมจะอธิบายความแตกต่างระหว่าง เลือกแบบ FBML กับแบบ Iframe ให้อีกทีครับ (ใน Tutorial อันต่อๆ ไปจะสร้าง app ใน iframe ครับเลยต้องเลือกอันนี้)
      • IFrame Size - อันนี้เลือกเป็น Resizable ซึ่ง Smart size คือการกำหนดให้ Auto Resize กรอบของ iframe ตามขนาดหน้าจอ Browser ครับ แต่ให้เลือกเป็น Resizable เพราะเราจะมีวิธีแก้ที่ดีกว่าภายหลังครับ หึหึ :P
    3. Tab Connect
      • Connect URL - กรอก URL host เราเข้าไปเหมือนเดิมครับ แต่ให้ใส่ ROOT URL นะครับ เช่นเราเก็บ code facebook app จริงๆ ไว้ที่ www.mydomain.com/myfacebookapp ก็ใส่เป็น www.mydomain.com ไม่งั้นจะมี bug cookie ในภายหลัง
      • Facebook Connect Logo - จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ครับ ไม่มีผล
    4. Tab Advanced
      • Sandbox Mode - ถ้าเลือกเป็น Enable จะอนุญาตให้เฉพาะ Developer ของ App นี้เท่านั้นที่สามารถใช้งานทดสอบ App นี้ได้ (ตามช่อง Developers ที่ได้กรอกไว้ใน Tab General) ซึ่งหากเป็น App ที่อยากให้เพื่อนช่วยทดสอบ แต่ไม่อยากให้เพื่อนเข้ามายุ่มย่ามกับ Application Setting ของเราก็ปล่อย Disable ไปเถอะครับ
  6. คลิก Save Changes ก็จะแสดงหน้า Profile ของ Application เราขึ้นมา ให้จำค่า API Key และ Application Secret เอาไว้ให้ดี เพราะต้องเอาไปใช้ใน code ของเราตอนเชื่อมกับ Facebook ครับ
  7. ในหน้าเดียวกันกับข้อที่แล้วให้เลื่อนลงมาด้านล่าง คลิก Download the Client Library (จะกด link นี้เพื่อดาวน์โหลดเลยกได้ แต่ไม่ยืนยันว่าจะได้ library เวอร์ชั่นล่าสุดครับ) ส่วนใครที่ไม่ได้ใช้ php สามารถ Download library ต่างๆ ในภาษาที่ใช้ได้ที่ Unofficial Client Libraries
  8. Extract Client Library ออกมา จะมี folder footprints กับ php ซึ่ง folder footprint จะเป็น app ตัวอย่างซึ่งใช้ Setting แบบ FBML ในการรันใช้งาน (แต่เราเลือกเป็น Iframe ไว้) ดังนั้นจะใช้งานกับ Tutorial ฉบับนี้ไม่ได้ ใครอยากลองในนั้นก็ได้ครับ ตามสบาย
  9. ใน Folder php ไฟล์ที่เราต้องใช้มีเพียงสองไฟล์คือ facebook.php และ facebookapi_php5_restlib.php ส่วนไฟล์ facebook_desktop.php ก็ตามชื่อครับ ไว้ใช้ถ้าเราสร้าง App ที่อยู่บน Desktop แต่เราสร้างบนเว็บอยู่แล้วก็ไม่ต้องยุ่ง และสุดท้ายคือ folder jsonwrapper ใช้สำหรับถ้า host ที่เราใช้อยู่ ไม่สามารถใช้ function json_encode และ json_decode ได้ก็จะต้อง include ใช้ library ในส่วนนี้ด้วย (ปกติแล้วถ้า host เป็น php5 ตั้งแต่ 5.2 ขึ้นไปจะสามารถใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้อยู่แล้ว)
  10. กลับมาที่หน้าเดิมกับข้อ 7 (อีกแล้ว) จะมีช่องนึงเขียนว่า Sample Code “Get started quickly with some example code!” นั่นแหละคลิกคำว่า example code เอาเลย แล้วจะมี popup เด้งขึ้นมาพร้อม code ตัวอย่างที่ป้อน API Key, กับ Application Secret ของ App เราไว้ให้แล้วเสร็จสรรพ!! เพียงแค่ copy paste ไปสร้างไฟล์ใหม่ชื่อ index.php แล้ว upload เข้า host เราให้ path ตรงกับ Canvas Callback URL ที่กรอกไว้ใน Tab Convas (อย่าลืม upload facebook.php และ facebookapi_php5_restlib.php ขึ้นไปด้วยให้อยู่ directory เดียวกันกับ index.php ของเรา)
  11. ทดสอบพิมพ์ URL ตาม Canvas Page URL ที่กรอกไว้ใน Tab Convas ก็จะรัน app ได้ทันที โอ้!! มีรายเพื่อนของเราโผล่มาหมดเลย!! :P อะไรเนี่ย?? ยังไม่ต้อง code เลยซักแอะ แค่ Copy Paste เอง :P
  12. ถ้าต้องการ Edit Application Setting อีกครั้งก็เข้าหน้า Facebook Developer ที่ bookmark ไว้แล้วจะมีรายชื่อ App ที่เราสร้างไว้ทางขวาบน (ใต้ปุ่ม Setup New Application) แล้วจะกลับมาที่หน้าเดียวกับข้อ 7 คลิกที่ Edit Settings ก็จะแก้ไขค่าต่างๆ ได้ครับ
เสร็จแล้ว โอ… เหมือนจะไม่ยากเลยใช่ไหมครับ แต่ความยุ่งยากที่แท้จริงมันหลังจากนี้ครับ 555 อ่านต่อภาคนิดยามความหมายต่างๆ ว่าไอ้ที่เราทำอะไรไปเนี่ยมันยังไงบ้างได้ที่บทความต่อไปครับ…
ปล. สำหรับใครที่ใช้ Framework Codeigniter สามารถดูตัวอย่างการสร้าง Facebook Application บน Codeigniter ได้ที่นี่ โดยอันนี้ต้องเลือก Render Method เป็นแบบ FBML นะครั

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

Security and data Protection in a Google data center

Security and data Protection in a Google data center
#physical barriers and perimeter pending
#24/7 security presence
#access control with bogging and biometric identification
#local law enforcement response
#video monitoring and video analytics
#Data Protection
#file fragmentation ,replication and storage
#hard drive life cycle management
#fire detection and suppressive

จาก http://www.blognone.com/news/23233
 

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

หมวดงานวิจัยเกี่ยวกับ Cloud Computing

คัดลอกจาก: http://javaboom.wordpress.com/2009/09/15/cloud_research_issues/
เนื่องจากช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ที่สนใจ cloud computing และหัวข้อด้าน virtualization หลายท่านอีัเมลมาถามผมว่าจะทำหัวข้อวิจัยอะไรดี สำหรับท่านที่เรียนปริญญาตรีอยู่ก็ถามหาหัวข้อโปรเจ็คที่เกี่ยวกับ cloud computing ถ้านับตามเวลาถึงวันนี้ก็ไม่ต่ำกว่า 10 ท่านแล้วครับ ผมจึงได้รวบรวมคำตอบไว้ระดับหนึ่ง ใครถามผมมา ผมก็เอาคำตอบที่เป็น template เดิมๆตอบไป ยกเว้นซะว่าท่านที่ถามมาจะมีไอเดียและยิงคำถามเฉพาะเจาะจงมา ผมถึงจะตอบได้ตรงประเด็น
โอเค เข้าเรื่องกันครับ … เอาเข้าจริงๆแล้ว งานวิจัยด้าน cloud computing ก็มุ่งไปที่การแก้ปัญหาหลายๆอย่างดั่งที่เราเคยเห็นกันทั่วไปใน distributed system ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะ cloud computing ก็เป็น distributed system ดีๆนี่เอง ส่วนคุณสมบัติที่(น่าจะ)ทำให้ cloud computing ดูโดดเด่น และทำให้ cloud computing แตกต่างไปจาก distributed system หลายๆโมเดลที่ผ่านมาก็คือ cloud computing เสนอโมเดลที่ผู้ให้บริการทรัพยากรคอมพิวเตอร์สามารถนำเสนอระบบแก่ลูกค้าที่สามารถยืดได้หดได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อปรับขนาดระบบ(หรือฟิต)กับความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างทันท่วงที และเราก็นิยมเรียกคุณสมบัตินี้ว่า elasticity (หรือ auto-scaling) กล่าวคือ มันสามารถที่จะ scale up และ scale down ได้อย่างยืดหยุ่นทั้ง vertical scale และ horizontal scale (คงได้พูดถึง scalability เมื่อมีโอกาส) และจะรวมไปถึงความสามารถที่เรียกว่า “dynamic provisioning”
ผมจะไม่ลงรายละเอียดกับคำว่า elasticity และ dynamic provisioning ในบทความนี้ (อาจจะยกยอดไปเขียนอีกครั้ง ถ้ามีโอกาสนะ) ท่านใดสนใจอยากทราบจุดเด่นของ cloud computing กับสิ่งที่เรียกว่า elasticity และ dynamic provisioning สามารถศึกษาได้ในรายงานของ Berkley ที่ชื่อ Above the Clouds: A Berkeley View of Cloud Computing
ส่้วนอีกปัจจัยที่ทำให้ cloud computing ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจก็คือ cloud computing ทำเงินได้จากโมเดลที่เรียกว่า utility computing ซึ่งโมเดลนี้เป็นความฝันของ distributed system มาหลายสิบปีแล้วและก็มีหลายบริษัทเคยพัฒนามาแล้ว แต่ทว่า utility computing  เริ่มปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในยุคที่ distributed system มาบรรจบกับ virtualization พร้อมกับโมเดลก่อนๆที่เข้มแข็งอย่าง grid computing และคุณสมบัติที่ดูโดดเด่นอย่าง elasticity ที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเมื่อมีทรัพยากรคอมพิวเตอร์จำนวนมหาศาลที่ให้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต(ความเร็วสูง) จนท้ายที่สุดก็บังเกิดเป็น cloud computing ขึ้นมานั่นเอง

เท่าที่ผมติดตามผลงานด้าน cloud computing มา ก็เคยมีผู้เชี่ยวชาญแบ่งงานวิจัยด้าน cloud computing หลายท่าน แต่ผมขอรวบรวมและแบ่งหมวดงานวิจัยตามประสบการณ์ของผม และผมขอไม่ลงรายเอียดอธิบายแต่ละหมวดแบบเจาะลึกมากนัก (เช่น จะทำวิจัยอย่างไรดี, ใช้เครื่องมืออะไรในการแก้ปัญหา, และมีเรื่องอะไรบ้างให้แก้ปัญหาได้ เป็นต้น) ท่านใดสนใจก็ค้นคว้าหาเปเปอร์มาอ่านเพิ่มเอาเองแล้วกันนะครับ และผมขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษสำหรับศัพท์เทคนิคบางคำ
(หมายเหตุ: ผมขอเรียก cloud computing สั้นๆว่า cloud)
ผมแบ่งหัวข้อวิจัย(และพัฒนา)ด้าน cloud computing ออกเป็น 8 หมวดด้วยกัน ดังนี้
1. Cloud application คือ การประยุกต์ใช้ cloud สำหรับ application ต่างๆ เช่น database, data mining, high performance computing, scientific workflow เป็นต้น งานเหล่านี้มีคนทำเยอะมากครับ มีตีพิมพ์ลงใน ACM กับ IEEE จำนวนหนึ่งแล้ว และถ้าเป็น application ทางธุรกิจอย่างพวกระบบบัญชีี/CRM เป็นต้น ก็สามารถค้นหาบทความได้ใน google (ส่วนใหญ่เขียนเป็น blog) ถ้าเป็นงานพวก finance/banking ก็ถือว่ายังมีให้เห็นน้อย เพราะคนเขากลัวข้อมูลรั่วไหล (ซึ่งถกกันในหัวข้อที่ 6.) แต่ก็มีบทวิเคราะห์ให้อ่านตาม blog ต่างๆเช่นกัน ถ้าุจะทำหัวข้อประมาณ cloud application นี้ก็คงต้องหา application ที่น่าสนใจมาวิเคราะห์ และต้องหา measurement และ factor ที่เหมาะสมมาใช้ในการวิเคราะห์/เปรียบเทียบ รวมถึงควรมี case study ที่ีเป็นรูปธรรมสำหรับอธิบายด้วยเพื่อทำให้งานมีคุณภาพยิ่งขึ้น
2. Cloud middleware คือ ซอฟต์แวร์ middleware สำหรับพัฒนาและบริหาร cloud computing ซึ่งมีคนทำเยอะพอสมควรเลยทั้งที่เป็นของขาย, opensource, และ freeware ครับ โดยโมเดลของ cloud มี 3 แบบใหญ่ๆคือ IaaS, PaaS, SaaS ซึ่ง cloud middleware ที่ทำกันอย่างจริงจังก็จะเป็น IaaS และ PaaS ตัวอย่างของซอฟต์แวร์ดังกล่าว ได้แก่ Aneka, OpenNebula, Enomaly, Nimbus, Eucalyptus เป็นต้น (Aneka สำหรับ PaaS ส่วนตัวที่เหลือนั้นสำหรับ IaaS) ซึ่งถ้าจะทำงานส่วนนี้มันก็น่าสนใจอยู่ แต่มีคนทำเยอะแล้วและเขาก็พัฒนากันเป็นทีมงานที่ใหญ่พอควร อีกทั้งมีบริษัทหรือหน่วยงานใหญ่ๆสนับสนุน ถ้าทำคนเดียวก็หนักน่าดู อย่างไรก็ดี เราสามารถแต่งเติมจุดที่ขาดหายไปให้กับ middleware ได้ครับ อันนี้ ก็ต้องศึกษาเองแล้วว่าแต่ละตัวมันขาดอะไรบ้าง แล้วจะต่อเติมอะไรเข้าไปได้ นอกจากนี้แล้ว cloud middleware ยังรวมถึง middleware อื่นๆที่สนับสนุนการทำงานของแอพพลิเคชันบน cloud computing อาทิเช่น Hadoop File System (HDFS) สำหรับการสร้าง distributed file system เป็นต้น
3. Market oriented cloud ส่วนนี้ก็ว่าด้วยเรื่อง economic/business model สำหรับ cloud computing ว่าจะซื้อขายทรัพยากรใน cloud ได้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ (เช่น ได้กำไรสูงสุด, ลดต้นทุนมากสุด, ขยายฐานลูกค้าได้มากสุด) เช่น ตั้งราคา/ลดราคาเท่าไหร่ให้ดึงดูดและได้กำไร เป็นต้น ซึ่งมีทั้งงานที่เป็น design, implement, และ theory
4. Resource provisioning (อันรวมถึง elasticity, dynamic provisioning กับ capacity planning) เป็นหัวข้อที่ศึกษากันมานานแล้วสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ (ทางวิศวะไฟฟ้าและการสื่อสารเขาก็เล่นมาระยะหนึ่งแล้ว) สำหรับทางคอมพิวเตอร์ก็มีคนศึกษามาตอนปี 1980 แล้ว แต่ทว่า cloud มันมีคุณสมบัติ elasticity ซึ่งเป็นหัวข้อที่ยังน่าสนใจอยู่มาก  โดยงาน R&D ในส่วนนี้มีึคนแห่มาทำกันมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วน implementation ซึ่งพบได้ในฟีเจอร์ของ cloud middleware ที่กล่าวในหัวข้อที่ 2.    ส่วนการทำ elasticity (หรือ auto scaling) ให้กับ application ที่เจาะจงลงไปเลยก็ถือว่าน่าสนใจใช่น้อย เช่น ค้นหาวิธีทำ auto scale สำหรับระบบฐานข้อมูลหรือระบบ game online เป็นต้น
5. Virtualizaiton จริงๆมันก็เป็นงานวิจัยที่สามารถแยกออกมาจาก cloud อย่างเป็นอิสระได้ และเขาก็ทำกันมานานแล้ว แต่ทว่าเรื่องนี้ก็ยังดังไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โมเดล IaaS ของ cloud กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก หัวข้อนี้ก็มีตั้งแต่คิดค้นวิธี live migration ของ virtual machine (VM) ที่เีร็วขึ้น, การทำ VM cloning ที่เร็วขึ้น, กาีรค้นหา VM placement ที่มีประสิทธิภาพ (VM placement จะเกี่ยวข้องกับ system consolidation ด้วย), การแชร์หน่วยความจำระหว่าง VM, การจูน Hypervisor (เช่น Xen และ  KVM) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอุปสรรคของ hypervisor หลักๆเลยคือ overhead ที่เกิดจาก I/O ซึ่งมีคนทำวิจัยด้านนี้พอสมควร แต่หัวข้อการลด overhead ของ I/O ก็ยังเป็นหัวข้อที่เปิดกว้างให้คนเข้ามาปรับปรุงและเพิ่มลูกเล่นได้อยู่เรื่อยๆ
6. Security และ Reliability เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่ศึกษากันอยู่แล้วแม้จะไม่มี cloud ก็ตาม หากแต่ผู้คนกังวลและกังขาสำหรับเรื่องนี้มากๆใน cloud หัวข้อดังกล่าวเลยเป็นที่สนใจของนักวิจัย เช่น จะเสนอแบบจำลองทางด้าน trust, sandbox, fault tolerant เช่นไรที่ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าเขาสามารถฝากระบบไอทีรวมถึงข้อมูลที่สำคัญบน cloud ได้อย่่างปลอดภัย และยังรวมไปถึงการคิดค้นระบบรับประกันคุณภาพหรือ Quality of Service (QoS) ที่ศึกษากันหนักใน network ด้วย เช่นจะรับประกัน network bandwidth รวมถึง CPU bandwidth ให้กับผู้ใช้ได้อย่างไร ถ้าเป็น network bandwidth เขาศึกษากันเยอะแล้ว แต่ถ้าเป็น CPU bandwidth เช่น ผู้ให้บริการ cloud จะรับประกันลูกค้าได้อย่างไรว่าจะให้บริการ CPU (ซึ่งก็คือบริการให้เช่าหน่วยประมวลผล)แก่ลูกค้าให้ได้ความเร็วตามที่สัญญาไว้ (สัญญาไว้ใน SLA) และทำอย่างไรหากผู้ให้บริการบอกว่าระบบของผู้ให้บริการต้องให้บริการ(รวมถึงให้การซัพพอร์ต)ด้วยระดับ availability 24/7 หรือ 99.999 % เป็นต้น
7. Programming  model/API/framework for cloud งานส่วนนี้ คือ การคิดค้นโมเ้ดลรวมถึง API และ framework สำหรับเขียนโปรแกรมบน cloud ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า  Map/Reduce ของ google เป็นตัวที่นิยมมาก และก็มีเพื่อนพ้อง model ต่างๆที่อิืงหรือเทียบเคียงกับ Map/Reduce อาทิเช่น Hadoop, Sector/Sphere และ GridBatch อย่างไรก็ดี โมเดลพวกนี้มันเหมาะสำหรับ application บางประเภท (โดยเฉพาะ data intensive application) ใช่ว่างานทุกงานจะเขียนโดย Map/Reduce ได้หมด ดังนั้น ก็มีนักวิจัยมากมายพยายามค้นหาโมเ้ดลใหม่มาเรื่อยครับ และ่งานส่วนนี้ก็จะเกี่ยวโยงไปหาโมเดลสำหรับพัฒนาโปรแกรมแบบขนานไปในตัวด้วย
8. Green computing คือการคิดค้นอัลริธึมหรือโมเดลทางคณิตศาสตร์ิเพื่อใช้ในการลดการบริโภคพลังงานของ datacenter หรือแก้ปัญหา green computing เพราะว่า datacenter เป็นแกนหลักของทรัพยากรคอมพิวเตอร์ใน cloud และการจะรองรับความต้องการของผู้ใช้ได้ทั่วถึงและตรงความต้องการของผู้ใช้ได้นั้น ผู้ให้บริการต้องเตรียม datacenter ที่ใหญ่มาก (เช่น มีคนกล่าวขานกันว่า google มี datacenter ที่มีเซิร์ฟเวอร์มากกว่าล้านเครื่อง) และผลที่ตามมาก็คือ การบริโภคพลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล ดังนั้น การประหยัดพลังงานไฟฟ้า/น้ำ, การลดความร้อน, การรีไซเคิล  จึงเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงมากในงานวิจัยด้าน cloud เช่นกัน

โครงการนำร่องระบบการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน

ระบบข้อมูลสุขภาพที่มีคุณภาพ ความน่าเชื่อถือและความซ้ำซ้อนของข้อมูลมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางเชิงนโยบายสุขภาพและเป็นประเด็นปัญหาหนึ่งที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ให้ความสนใจ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวกระทบต่อหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบกับมาตรฐานข้อมูลในการรับส่งยังไม่ได้มีการกำหนด ส่งผลกระทบสำคัญต่อกระบวนการบริหารจัดการด้านงบประมาณเนื่องจากพิจารณากรอบงบประมาณตามคุณภาพของข้อมูลที่ส่งมาในระบบ จากการดำเนินการโครงการศึกษาและจัดทำมาตรฐานโครงสร้างฐานข้อมูลสุขภาพและการแพทย์ระดับโรงพยาบาลและสถานีอนามัย ภายใต้แผนโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างฐานข้อมูลระดับประเทศ (National Health Information System: NHIS) ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้พัฒนาชุดโครงสร้างมาตรฐานกลางชุดโครงสร้างข้อมูลของการประกันสุขภาพเพื่อการเบิกจ่ายเงินกองทุนในระบบประกันสุขภาพและส่งเสริมป้องกัน (Standard Metadata Set of Health Insurance for Payment System and Promotion and Prevention System) หรือ โครงสร้างแฟ้มมาตรฐาน 3P รวมทั้งกระบวนการมาตรฐาน(Standard Process)ในการรับส่งข้อมูล เครื่องมือสนับสนุนการแปลงข้อมูลเข้าสู่มาตรฐาน(Tools) และระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Data & Information Security) ขึ้นเพื่อสนับสนุนการนำไปสู่การใช้งานระดับประเทศ

โครงการนำร่องระบบการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินี้ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติเน้นการนำโครงสร้างแฟ้มมาตรฐานข้อมูล 3P(Payment, Promotion, Prevention) กระบวนการมาตรฐาน(Standard Process)ในการรับส่งข้อมูล เครื่องมือสนับสนุนการแปลงข้อมูลเข้าสู่มาตรฐาน(Tools) และระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Data & Information Security) ที่ได้พัฒนาในระยะแรกของโครงการ NHIS มาใช้ในการ Implement กับ 2 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ครอบคลุม 83 หน่วยบริการ และจังหวัดร้อยเอ็ด ครอบคลุม 249 หน่วยบริการ ระยะเวลาดำเนินงาน 2 ปี

ภายใต้แผนการดำเนินงาน ครอบคลุมการฝึกอบรมสำหรับบุคลาการทุกหน่วยบริการสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องใน 3 หลักสูตรด้วยกัน ประกอบด้วย หลักสูตรการใช้งานเครื่องมือสนับสนุนการนำข้อมูลสุขภาพไปสู่มาตรฐาน (Metadata Conversion and Cleansing Tools: MC2T) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน หลักสูตรการอบรมกระบวนการมาตรฐาน (Standard Process) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน และหลักสูตรการใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Network and Security) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน

ภายใต้แผนการดำเนินงาน ครอบคลุมการฝึกอบรมสำหรับบุคลาการทุกหน่วยบริการสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องใน 3 หลักสูตรด้วยกัน ประกอบด้วย หลักสูตรการใช้งานเครื่องมือสนับสนุนการนำข้อมูลสุขภาพไปสู่มาตรฐาน (Metadata Conversion and Cleansing Tools: MC2T) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน หลักสูตรการอบรมกระบวนการมาตรฐาน (Standard Process) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน และหลักสูตรการใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Network and Security) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน

สรุปประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารสุขภาพแห่งชาติ

สรุปประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารสุขภาพแห่งชาติ
วันที่ 8 เมษายน 2554
ณ ห้องประชุมสานใจ 2 ชั้น 6 อาคารสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข

  1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารสุขภาพแห่งชาติ โดยมีนายสมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เป็นประธานกรรมการ และนายบุญชัย กิจสนาโยธิน เป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้แทนชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เป็นกรรมการลำดับที่ 20
  2. การกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานของคณะกรรมการ มี 4 เป้าหมาย คือ
เป้าหมายการดำเนินงาน/ผู้รับผิดชอบ
2.1       การพัฒนาระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้มากขึ้น ใน 3 ระดับ คือ ผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยที่ต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระกับหน่วยงานที่เป็นต้นทางของข้อมูล / กระทรวงสาธารณสุข , NECTEC , สปสช.
2.2       กำหนดกติกาการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ พิจารณา พรบ.ที่เกี่ยวข้อง / กระทรวงสาธารณสุข , NECTEC , สปสช.
2.3       พิจารณาชุดดัชนีชี้วัดสุขภาพ 3 กลุ่ม 12 หมวด 24 ตัวชี้วัด / กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น + สวรส.
2.4       การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพระดับพื้นที่ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอาข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการดูแลสุขภาพประชาชนได้ / กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น + สวรส.
ทั้งนี้ มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้อง จัดทำกรอบแนวทางและแผนการดำเนินงาน เข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาในคราวหน้า มอบหมายให้ฝ่ายเลขา ดำเนินการตั้งคณะทำงานย่อย เพื่อรับผิดชอบเป้าหมายทั้ง 4 เป้าหมาย
  1. กำหนดให้ทีการประชุมคณะกรรมการฯ ทุก 2 เดือน และต้องดำเนินการจัดประชุมข้อมูลข่าวสารสุขภาพแห่งชาติ ทุก 2 ปี
 
ตัวชี้วัดสุขภาพแห่งชาติ
กลุ่ม สถานะสุขภาพ
หมวด 1. สุขภาพกาย
1.1 อายุคาดเฉลี่ย
1.2 อายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี
1.3 อัตราตายวัยแรงงาน
หมวด 2. สุขภาพจิต
2.1 อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ
2.2 ร้อยละของประชาชนที่มีความสุขในการดำรงชีวิต
หมวด 3. สุขภาพในมิติทางจิตวิญญาณ หรือปัญญา
3.1 ดัชนีสุขภาวะทางปัญญา
กลุ่มปัจจัยบ่งชี้สุขภาพ
หมวด 4. พฤติกรรมสุขภาพ
4.1 ร้อยละของผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับที่อันตราย ในรอบปีที่ผ่านมา
4.2 ร้อยละของผู้ที่สูบบุหรี่ในรอบปีที่ผ่านมา
4.3 ร้อยละของการตั้งครรภ์ในหญิงวัยรุ่น
หมวด 5. คุณภาพสิ่งแวดล้อม
5.1 ดัชนีคุณภาพอากาศ
5.2 ดัชนีคุณภาพน้ำของแหล่งน้ำ
5.3 ปริมาณการใช้สารทำลายโอโซน
หมวด 6. ความมั่นคงของชีวิต
6.1 ร้อยละของจำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจน
หมวด 7. ความสัมพันธ์ในครอบครัว
7.1 ดัชนีครอบครัวอบอุ่น
7.2 ร้อยละพ่อ แม่เลี้ยงเดี่ยว
หมวด 8. ศักยภาพชุมชน
8.1 ดัชนีชุมชนเข้มแข็ง
หมวด 9. ความมั่นคงของสังคม
9.1 ความแตกต่างของรายได้ระหว่างคนที่รวยที่สุด 20% แรก ต่อคนที่จนที่สุด 20% สุดท้าย
กลุ่ม ระบบบริการสุขภาพ
หมวด 10. ความเป็นธรรมและการเข้าถึงบริการสุขภาพ
10.1 ผลประโยชน์ที่ได้รับจากงบประมาณรัฐ เปรียบเทียบระหว่าง Quintile ที่ 1 และ Quintile ที่ 5
10.2 ผลกระทบความยากจนจากค่าใช้จ่ายด้านบริการสาธารณสุข
10.3 อัตราผู้ป่วยในรายครั้งที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดในกรณีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
หมวด 11. ประสิทธิภาพของระบบบริการสุขภาพ
11.1 ร้อยละของรายจ่ายด้านสุขภาพต่อ GDP
11.2 ร้อยละของมูลค่าการใช้ยาบัญชีหลัก ต่อรายจ่ายด้านยา
หมวด 12. คุณภาพและประสิทธิผลของระบบบริการสุขภาพ
12.1 อัตราการนอนโรงพยาบาลด้วยโรคที่ควรจะควบคุมได้ด้วยบริการแบบผู้ป่วยนอก
12.2 อัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยในและอัตราการเสียชีวิตใน 28 วัน